10 บทเรียน หลังวิกฤติไวรัสโควิด Covid-19 | ซีเอแอลลิสซิ่ง 2009
10 บทเรียน หลังวิกฤติไวรัสโควิด Covid-19 หลายๆคนอาจได้เห็น ทราบ พอรู้สึกหรือได้รับผลกระทบ แต่ก็มีคนหลายกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบหรือยังไม่ได้รับผล หากจะว่าไปบางเรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากวิกฤติไวรัส แต่ควรตระหนักไว้บ้างว่าผลกระทบเหล่านี้อาจมีขึ้นกับเราสักวันหนึ่งบนวิกฤติส่วนตัว ซึ่งก็แล้วแต่ความประมาทในการใช้ชีวิตของแต่ละคน อ่านดูเป็นแง่คิดกันไป

เป็นสิ่งแรกที่น่าจะเห็นผลโดยอย่างยิ่งเมื่อตอน Lockdown ปิดเมือง ก่อนหน้านี้อาจไม่รู้ในหลักการวิชาการแต่เห็นภาพและเรียนรู้โดยตรงจากสิ่งที่เจอจนต้องพยักหน้าตามว่ามันส่งผลถึงเราได้จริงไม่ไกลตัว ที่แม้จะผ่านมาหลายเดือนผลกระทบจะยังคงส่งผลต่อมาอยู่เรื่อย ๆ เช่น ภาพรวมเหมือนจะดีขึ้น แต่ธุรกิจหลากหลายกลับทยอยปิดตัว และอดีตการดำรงชีพ ที่มีรูปแบบหารายได้แบบมีมาใช้ไปคือความเคยชิน แต่จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 คนที่ไม่มีเงินสำรอง ได้รับผลกระทบชัดเจน ที่จริงอาจไม่ต้องมีวิกฤติไหนก็ได้ เพราะส่วนใหญ่มีวิกฤติตัวเองอยู่แล้ว แต่คนที่เคยคิดว่า มีบ้าง เหลือบ้าง ไม่เหลือบ้าง “ตามกำลัง” ไม่ได้วางแผนอะไรจริงจัง มองว่าก็ยังดีกว่าคนอื่น หรือพอเพียงนั้น อาจเห็นแล้วว่าไม่เพียงพอ เพราะสำหรับประเทศเราต้องยอมรับกันส่วนหนึ่งครับ “แค่โชคดี” ที่สังคมสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยให้วิกฤติไม่หนัก และกระทบตรง ๆ ไม่นาน ไม่เช่นนั้นหลายคน แม้จะมีเงินเก็บ ก็คงหมดไปได้ไม่ยากเลย
นอกจากคนตกงานกันมากแล้วคนเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพก็มากไม่แพ้กัน รวมถึงการอยากหาอาชีพเสริม(ขยัน) หาได้ไหม? ดีขึ้นไหม? ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สะท้อนชัดเจนคือการแสดงออกของผู้คนให้เห็นว่าไม่มีใครมั่นใจ หรือไว้ใจในอาชีพ การงานที่ตนทำอีกต่อไป
ข้าราชการ น่าจะกลับมาเป็นเป้าหมายทางอาชีพของคนที่ยังเลือกได้ หรือส่วนเอกชนที่ด้านสวัสดิการและความมั่นคงเป็นที่สนใจ น่าจะเข้ามาลดความฝันฟุ้งเรื่องตัวเลขเงินเดือนของผู้คนได้ไม่มากก็น้อย และมี “อาชีพอิสระ” สำหรับบางคนอาจไม่เกี่ยวกับประเภทงานและการเงิน แต่เป็นอาชีพที่ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากเกินไป เหมือนหลายคนกำลังหันมาทำเกษตร และขายอาหารกันมากมายเพราะคิดว่าอย่างไรคนก็ต้องกิน
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในรูปแบบใด เริ่มตั้งแต่ เปิดกิจการ ขยายกิจการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ หรือหุ้นก็ตาม ทุกวิกฤติย่อมทำให้ “นักลงทุน” เรียนรู้ เป็นช่วงเวลาแยกคนเก่งกับอวดเก่งออกจากกัน แต่ส่วนหนึ่งวิกฤตินี้ก็ไม่เหมือนกับวิกฤติการเงินที่ผ่านๆ มา แต่สำหรับผู้เป็นเจ้าของกิจการ หรือธุรกิจ หากไม่เคยใส่ใจมากพอในแง่การจัดการเงิน หรือแม้แต่การบริหารจัดการที่ดีพอย่อมเกิดความเสียหายและโอกาสอยู่รอดเป็นไปได้ยาก อาจจะสรุปได้คร่าวๆ ว่านักลงทุนไม่ว่าจะแค่ลงทุนหรือดำเนินกิจการเองก็ตาม หากพ้นช่วงนี้ไปได้ ก็ยากจะเจ๊งไปอีกนาน เพราะถือว่าได้ผ่านการทดสอบที่ยากลำบากมาแล้ว

การเมืองยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในบ้านเรามีมุมมองต่างกันไป แม้ในฝ่ายเดียวกันก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้บางคนสนใจการเมืองแต่ก็ไม่ได้เข้าใจความสำคัญของฝ่ายการเมืองที่ดีพอ ผมไม่ได้จะมาสรุปว่าวิกฤติไวรัสโควิด 19 นี้ รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองบ้านเราบริหารจัดการได้เป็นอย่างไร เพียงแต่เชื่อว่าเราคงได้เห็นกันชัดขึ้นว่า การเมืองมีบทบาทมากมายในการบริหารจัดการภาพรวมทั้งในเชิงนโยบายและสนับสนุน เราควรจะดีกว่านี้ หรือแย่กว่านี้การเมืองล้วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หรือหากมองไปในบางประเทศ ยิ่งได้เห็นชัดว่าการเลือกดำเนินนโยบายบางอย่างส่งผลลัพธ์ในด้านเศรษฐกิจหรือสังคมประเทศนั้นๆ อย่างไร

มีหลายคนหลงติดกับภาพ Social Network จนเคยชิน อวดความสะดวก สบาย มั่งมี จนทำให้เราแอบรู้สึกว่า นี่เราทำไมจนจัง ด้อยจัง แต่ถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่าคงคิดแบบนี้น้อยลงมากเพราะเราได้เห็นคนบ่นมากขึ้น คนดิ้นรนมากขึ้น ได้เห็นข่าวสะเทือนใจในความลำบากที่สะท้อนความเป็นจริง เพราะเป็นช่วงภาวะที่คนไม่อายที่จะบอกว่าแย่ เพราะต่างก็รู้ว่าแย่ลงกันหมด และในข้อดีก็เห็นด้านความมีน้ำใจ เห็นการช่วยเหลือแบ่งปันกัน และทำให้เรากล้าจะเปิดตัวตนแบบที่เป็นมากกว่าที่อวดเกินจริงกันมากขึ้นด้วย คนชั้นกลางหลายคนที่พยายามดิ้นรนถีบตัวเองให้สูงขึ้น อาจรู้สึกได้ว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ประคองตัวได้ในช่วงที่ผ่านมา และน่าจะพึงพอใจกับชีวิตที่ตัวเองมีตอนนี้มากขึ้น ส่งผลให้ยินดีช่วยเหลือแบ่งปันสู่สังคมได้อีกต่างหาก จากช่วงที่ผ่านมาเชื่อว่า หลายคนเห็นตัวเองชัดขึ้น ทั้งไม่ว่าจะควรดิ้นรนขึ้นไปให้ดีกว่านี้ไหม หรือควรจะหยุดลดตัวลงมาพอใจในสิ่งที่มี
คนบ้านเราส่วนใหญ่เป็นคนเรียบง่าย ชอบสบาย จึงไม่แปลกอะไรที่หลายคนไม่ชอบวางแผน จริงอยู่ที่สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้วางแผนก็อาจรับมือได้ยาก ทว่าส่วนหนึ่งการได้วางแผนกับไม่ได้วางแผนก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์เท่ากัน เช่น ถ้าวางแผนการเงินไว้บ้างแม้ต่างจะเดือดร้อน แต่ย่อมเดือดร้อนน้อยกว่าคนที่ไม่ได้วางแผนเลย
ตอนนี้หลายคนก็คงต้องเห็นความสำคัญและคิดวางแผนกันมากขึ้นแล้ว เช่น ถ้าบริษัทเลิกจ้างจะทำอย่างไร? เงินที่ได้เท่านี้ตอนนี้จะจัดการอย่างไร? หนี้สินที่มีจะเอาอย่างไร? อนาคตจะเอาอย่างไร? คนที่วางแผนบ่อย ก็อาจได้เปรียบมีประสบการณ์ คนที่ไม่เคยวางแผนก็ถึงเวลาต้องเรียนรู้และหากวิกฤติมีมาจนวันนี้ ใครที่ยังไม่คิดวางแผนอะไรไว้บ้างเลย น่าห่วงจริงๆ

สิ่งที่หลายคนละเลยมานานทั้งที่เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของเรานั่นคือ “สุขภาพ” วิกฤติครั้งนี้เป็นแรงกระตุ้นสำคัญสำหรับคนที่สุขภาพร่างกายดีก็มีความได้เปรียบเพราะโอกาสติดยากกว่า ถ้าติดขึ้นมาโอกาสป่วยรุนแรงก็จะน้อยกว่า อีกส่วนสำคัญคือ สุขอนามัย ที่จริงเรื่องการล้างมือบ่อย การระมัดระวังการสัมผัสที่ไม่จำเป็น เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ควรกระทำ จะสังเกตได้ว่าวิกฤติครั้งนี้เกิดช่วงฤดูร้อนบ้านเรา แต่เรื่องท้องเสีย ท้องร่วงเป็นปัญหาน้อยทันทีเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา หากมองไป หวัด ไข้หวัดที่ปกติคนก็เป็นกันติดกันทั่วไป กลายเป็นน้อยลงด้วย นี่ก็เพราะต่างดูแลสุขอนามัยกันดีโดยส่วนใหญ่นั่นเอง
ที่จริงก็อยากจะเขียนว่า ได้เห็นคุณค่าของเวลา ก็ดูอาจไม่ชัดเจน แต่ถ้าบอกว่าเกือบทุกคนมีเวลามากขึ้นน่าจะชัดเจนกว่าแถมต้องอยู่เฉยๆ เพราะหลายคนหยุดงาน หยุดเรียน แม้ทำงานก็ทำน้อยลง บางคนอาจคิดว่าได้ใช้เวลาชดเชยบางอย่าง เช่น ดูซีรีส์ เล่นเกมส์ กระทั่งการนอนที่หลายคนโหยหา แต่เชื่อได้ว่า คุณจะพบความอิ่มตัว เพราะพอมามีเวลาทำเรื่องพวกนี้มากจริง ๆ คุณก็จะเบื่อกันอยู่ดี และถ้าชีวิตยังมีปัญหาจากวิกฤติ ก็อาจไม่มีอารมณ์ทำสิ่งเหล่านี้เลยด้วยซ้ำไป วันนี้ก็เป็นเรื่องดีที่ช่วงที่ผ่านมาคงได้มีเวลาทบทวนเรื่องราวเหล่านั้นให้มากพอ รวมถึงการระลึกได้ว่า ที่ผ่านมาเรามีเวลาให้ตัวเราเอง และครอบครัวแบบจริงจังน้อยเหลือเกิน

นับจากช่วงแรกเริ่มของการระบาดของไวรัส จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาราวครึ่งปีแล้วที่เราต่างไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่าอะไรจะขึ้นอีก ที่ผ่านมาทั้งต้องระวัง ทั้งตระหนก หวาดกลัว ตื่นเต้น และแม้วันนี้จะได้เริ่มใช้ชีวิตปกติ ก็ยังไม่แน่ใจหรือวางใจได้ว่า ระลอก 2 จะเกิดขึ้นมาไหม? ซึ่งนั่นเป็นแค่เรื่องของไวรัสที่ยังไม่แน่นอน
ในอีกด้านของแต่ละคนก็ได้เจอประสบเรื่องราวไม่คาดคิดมากมาย ทั้งจากตนเองหรือผู้อื่น จะเหมือนเรื่องที่กล่าวไปแล้วหรือไม่ก็ตาม และก็ยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าจิตใจหลายคนเริ่มเข้มแข็ง เริ่มได้บทเรียนจากความไม่แน่นอนต่างๆ แม้ปัญหาจะยังเกิดอยู่หรือยังแก้ไม่ได้ในตอนนี้ แต่คงมีจิตใจที่ดีกว่าแรกๆ และเมื่อวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป เราหลายคนคงพร้อมที่จะรับมือกับอะไรๆ ที่ไม่แน่นอนกันได้ดีกว่าเดิม
ในช่วงที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราคงได้เจอทั้งเรื่องแปลกใจ ตกใจ และไม่ได้เตรียมใจ หลายคนถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนงาน หลายคนถึงเวลาต้องแยกทางกัน คนที่มีความลับอาจหมดเวลาที่จะได้เก็บรักษาไว้ คนที่มีความสัมพันธ์ไม่เหนียวแน่นก็เป็นเวลาพิสูจน์สิ่งนั้น คนที่ไร้ความสามารถก็อาจไม่ได้ไปต่อและคนที่แกร่งไม่พอก็ต้องหลบออกไป สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องแย่ ๆ และเหมือนเป็นข้อสรุปจากทุกข้อที่กล่าวมา เพียงแต่ส่วนหนึ่งเราอาจต้องยอมรับว่า วิกฤติเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพียงตัวกระตุ้นให้หลายอย่างเร็วขึ้น วิกฤติอาจทำร้ายเราในบางสิ่ง แต่หลายสิ่งก็ไม่ใช่มันเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่เราละเลย ไม่ใส่ใจ ไม่วางแผนมัน ไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นเอง มิเช่นนั้นอย่างไรเราก็คงพร้อมที่จะดูแลรักษามันไว้ได้เสมอ
สุดท้าย 10 บทเรียน หลังวิกฤติไวรัสโควิด นี้คงไม่มีใครตัดสินแทนว่าอะไรผิด ถูก ดี หรือแย่ แทนใครได้ บางคนก็ดีกว่าเดิมในขณะที่หลายคนดูจะแย่ลงและหลายคนอาจได้ค้นเจอตัวตน หลายคนก็ไม่แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เรากลับมาทบทวน เรียนรู้อะไรหลายอย่างมองเป็นเรื่องที่ดีก็ยังมองได้ว่าทุกวิกฤติย่อมผ่านไป และเราทุกคน เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ อยู่ที่บทเรียนต่างๆ เหล่านี้มีประโยชน์กับเราแค่ไหนที่จะเริ่มใหม่ให้ดีกว่าเดิม